วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อสส. แจ้งแนวทางปฏิบัติตามประกาศ คสช. ฉ.115/2557 (ทำความเห็นแย้ง)

ด่วนที่สุด                                                      สำนักงานอัยการสูงสุด
ที่ อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๑๘๖                                                                   อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์  
                                                                                                         ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ
                                                                                                         ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง 
                                                                                                         เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ๑๐๒๑๐  
                                                        ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗  
เรื่อง    แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  
เรียน    ที่ปรึกษาสำนักงานอัยการสูงสุด รองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจการอัยการ ที่ปรึกษาอัยการสูงสุด 
            อธิบดีอัยการ อธิบดีอัยการภาค อัยการพิเศษฝ่าย เลขานุการอัยการสูงสุด อัยการจังหวัด 
            ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการและโครงการในพระราชดำริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า
            พัชรกิติยาภา และผู้อำนวยการสำนักงาน 
สิ่งที่ส่งมาด้วย  สำเนาประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑
            กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 

              ด้วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกประกาศ ฉบับที่ ๑๑๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นต้นไป นั้น 
             สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญา ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการในการอำนวยการยุติธรรมให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและเป็นไปแนวทางเดียวกัน จึงกำหนดแนวทางให้พนักงานอัยการถือปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้  
             ๑. กรณีตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ข้อ ๒ ได้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔๒ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน 
                 "ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหานั้นถูกขังอยู่แล้ว หรือผู้ต้องหาซึ่งถูกแจ้งข้อหาได้หลบหนีไป" 
                  กรณีดังกล่าวเป็นสำนวนคดีอาญาที่ปรากฎตัวผู้กระทำผิดและพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบแล้วไม่ว่ากรณีใด หากพนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหามาเนื่องจากหลบหนี หรือผู้ต้องหาถูกขังอยู่ในอำนาจศาลที่จะรับฟ้อง ให้พนักงานอัยการรับสำนวนไว้พิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป
             ๒. กรณีตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ข้อ ๓ ที่ให้เพิ่มมาตรา ๑๔๕/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้พนักงานอัยการปฏิบัติต่อสำนวนการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนี้  
                  ๒.๑ สำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ให้เสนอสำนวนคดีอาญาให้ผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบพิจารณา  
                  ๒.๒ สำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา ที่เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่มีความเห็น หรือมีความเห็นหลังวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้สำนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องขอรับสำนวนคดีอาญาดังกล่าวกลับคืนมาเพื่อดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๔๕/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
              จึงเรียนมาเพื่อทราบและถือเป็นแนวทางปฏิบัติ
                                                                                ขอแสดงความนับถือ 
                                                                                นายมนัส  สุขสวัสดิ์ 
                                                                      รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทน 
                                                                                      อัยการสูงสุด 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ด่วนที่สุด                                                      สำนักงานอัยการสูงสุด
ที่ อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๑๙๔                                                                   อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์  
                                                                                                         ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ
                                                                                                         ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง 
                                                                                                         เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ๑๐๒๑๐  
                                                        ๑   สิงหาคม  ๒๕๕๗  
เรื่อง    แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (เพิ่มเติม) 
เรียน    ที่ปรึกษาสำนักงานอัยการสูงสุด รองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจการอัยการ ที่ปรึกษาอัยการสูงสุด 
            อธิบดีอัยการ อธิบดีอัยการภาค อัยการพิเศษฝ่าย เลขานุการอัยการสูงสุด อัยการจังหวัด 
            ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการและโครงการในพระราชดำริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า
            พัชรกิติยาภา และผู้อำนวยการสำนักงาน 
อ้างถึง  หนังสือสำนักงานอัยการ ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๑๘๖ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ 

              ตามหนังสือที่อ้างถึง สำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นต้นไป นั้น 
             สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีกรณีถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ และถอนฎีกา ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดยังไม่ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาในหนังสือที่อ้างถึง รวมทั้งการปฏิบัติต่อสำนวนคดีอาญาในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงและศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด ดังนั้น จึงกำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมสำหรับสำนวนการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนี้  
             (๑) สำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ หรือถอนฎีกา ที่เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่มีความเห็น หรือมีความเห็นหลังวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้สำนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องขอรับสำนวนคดีอาญาดังกล่าวกลับคืนมาเพื่อดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๔๕/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
             (๒) สำนวนคดีอาญาที่ปรากฏตัวผู้กระทำผิดและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงในกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา หรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ หรือถอนฎีกา ให้สำนักงานอัยการคดีศาลแขวง หรือสำนักงานอัยการที่มีอำนาจพิจารณาคดีศาลแขวงปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๑๒  
             (๓) สำนวนคดีอาญาที่ปรากฎตัวผู้กระทำความผิดและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด หรือศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเยาวชนและครอบครัว ให้พนักงานอัยการปฏิบัติ ดังนี้ 
                   ๓.๑ กรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ในข้อหาหรือฐานความผิดใดฐานความผิดหนึ่งที่เกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ให้พนักงานอัยการปฏิบัติตามมาตรา ๑๔๕/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหานั้นมีแต่เฉพาะข้อหาหรือฐานความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๑๒ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๖ 
                   ๓.๒ กรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา หรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ และถอนฎีกา หากมีฐานความผิดใดฐานความผิดหนึ่งที่เกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ให้พนักงานอัยการปฏิบัติตามมาตรา ๑๔๕/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากมีแต่เฉพาะข้อหาหรือฐานความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๑๒ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๖ 
             จึงเรียนมาเพื่อทราบและถือเป็นแนวทางปฏิบัติ
                                                                                ขอแสดงความนับถือ 
                                                                                นายมนัส  สุขสวัสดิ์ 
                                                                      รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทน 
                                                                                      อัยการสูงสุด 


พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙
            มาตรา ๑๒  ในคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ ในกรณีที่มีคําสั่งไม่ฟ้อง และคําสั่งนั้นไม่ใช่ของอธิบดีกรมอัยการ ถ้าในกรุงเทพมหานคร ให้รีบส่งสํานวนการสอบสวนพร้อมกับคําสั่งเสนออธิบดีกรมตํารวจ รองอธิบดีกรมตํารวจหรือผู้ช่วยอธิบดีกรมตํารวจ ถ้าในจังหวัดอื่นให้รีบส่งสํานวนการสอบสวนพร้อมกับคําสั่งเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ทั้งนี้ มิได้ตัดอํานาจพนักงานอัยการที่จะจัดการปล่อยผู้ต้องหา ปล่อยชั่วคราว ควบคุมไว้ หรือขอให้ศาลขัง แล้วแต่กรณี และจัดการหรือสั่งการให้เป็นไปตามนั้น 
             ในกรณีที่อธิบดีกรมตํารวจ รองอธิบดีกรมตํารวจหรือผู้ช่วยอธิบดีกรมตํารวจในกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดอื่น แย้งคําสั่งของพนักงานอัยการให้ส่งสํานวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอธิบดีกรมอัยการเพื่อชี้ขาดแต่ถ้าคดีจะขาดอายุความ หรือมีเหตุอย่างอื่นอันจําเป็นจะต้องรีบฟ้อง ก็ให้ฟ้องคดีนั้นตามความเห็นของอธิบดีกรมตํารวจ รองอธิบดีกรมตํารวจ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตํารวจหรือผู้ว่าราชการจังหวัดไปก่อน 
             บทบัญญัติในมาตรานี้ ให้นํามาบังคับในการที่พนักงานอัยการจะไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาหรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์และถอนฎีกาโดยอนุโลม

พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ 
            มาตรา ๖ ให้นำบทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาใช้บังคับแก่คดีเยาวชนและครอบครัวเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้

สรุป.-  ในต่างจังหวัด คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง และคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเฉพาะข้อหาหรือฐานความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา หรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ หรือถอนฎีกา  ให้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัด  ส่วนข้อหาหรือฐานความผิดใดฐานความผิดหนึ่งที่เกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง  ให้เสนอผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น