กระแสการปฏิรูปตำรวจด้วยการแยกหน่วยงานสอบสวนออกเป็นองค์กรอิสระ
มีสายการบังคับบัญชาแยกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ทำให้พนักงานสอบสวนส่วนหนึ่งออกมาแสดงความเห็น โดยมีผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการแยกงานสอบสวน
สาเหตุมาจากในอดีตสถานีตำรวจหลายแห่งเริ่มขาดแคลนพนักงานสอบสวน
เพราะข้าราชการตำรวจสมัครใจโยกย้ายไปอยู่สายงานอื่นกันหมด เช่น งานสืบสวน
และงานป้องกันปราบปราม เป็นต้น เนื่องจากงานสอบสวนเป็นงานที่ต้องอยู่กับการพิมพ์เอกสารเป็นหลัก
ออกเวรแล้วต้องติดตามตัวพยานมาสอบปากคำ และมีระเบียบ คำสั่ง
ที่ออกมากำชับให้ปฏิบัติตามให้ทันระยะเวลาอันมีจำกัด พนักงานสอบสวนบางคนหลงลืมและเลินเล่อจนผิดระเบียบ คำสั่ง อีกทั้ง สายงานสอบสวนมักจะถูกร้องเรียนเป็นประจำ และหาความก้าวหน้าได้ค่อนข้างลำบาก
เพราะต้องคลุกคลีอยู่กับประชาชนในระดับล่างมากกว่าจะอยู่กับผู้บังคับบัญชาระดับสูง
แต่เดิมรายได้ก็ไม่ได้แตกต่างจากสายงาน ในอดีตผู้บังคับบัญชาได้แก้ปัญหาด้วยการสั่งย้าย รอง สวป. ที่มีคุณวุฒิด้านกฎหมาย
มาดำรงตำแหน่ง รอง สวส. เพื่อทำหน้าที่สอบสวน แต่ไม่นานนัก
พนักงานสอบสวนก็เริ่มขาดแคลนอีก เพราะภาระงาน รายได้ และความก้าวหน้า ไม่ได้จูงใจให้น่าอยู่ตามเหตุผลข้างต้น
วิธีการแก้ไขปัญหาพนักงานสอบสวนที่ขาดแคลนและขาดความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการในระยะหลัง คือ ทำให้พนักงานสอบสวนก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม กล่าวคือ ในอดีต การจะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นจะต้องมีตำแหน่งว่างก่อนจึงจะโยกย้ายไปแทนตำแหน่งที่ว่างได้ แต่ผลที่ได้รับจากการแก้ไขปัญหาทำให้ได้พนักงานสอบสวนที่เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นระดับสารวัตร ระดับรองผู้กำกับการ และระดับผู้กำกับการ ได้ทำงานอยู่สถานีตำรวจแห่งเดิม ได้ด้วยเลขตำแหน่งเดิม ไม่ต้องย้ายไปทำงานที่แห่งใหม่ มาเข้าเวรสอบสวนตามเดิมอีกด้วย และไม่ต้องย้ายสถานที่ทำงานบ่อย ๆ โดยไม่ต้องโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างในสถานีตำรวจแห่งอื่น นอกจากนี้ ในอดีต ถ้าเป็นสารวัตรแล้วก็ไม่ต้องเข้าเวรและไม่ต้องทำสำนวนการสอบสวนอีก แต่ผลที่ได้รับจากการแก้ไขปัญหา ทำให้ได้พนักงานสอบสวนในระดับสารวัตร ระดับรองผู้กำกับการ และระดับผู้กำกับการ ที่เลื่อนตำแหน่งนี้มาเข้าเวรสอบสวนตามเดิมอีกด้วย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาคราวนี้จึงทำให้พนักงานสอบสวนได้รับความก้าวหน้า
ส่วนหน่วยงานก็ได้พนักงานสอบสวนมาเข้าเวรทำสำนวนต่อเนื่องไปอีก
เมื่อพนักงานสอบสวนเข้าสู่ยุคของการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องปริ้นเตอร์ มาใช้ในงานสอบสวน
ทุกคนต่างต้องแสวงหาซื้ออุปกรณ์เหล่านี้มาใช้แทนเครื่องพิมพ์ดีดเพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น
ในขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่จำนวนพนักงานสอบสวนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
อุปกรณ์เครื่องพิมพ์เหล่านี้ค่อนข้างเสื่อมค่าเร็ว
พนักงานสอบสวนต้องจัดซื้อจัดหาแม้แต่กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็ต้องซื้อด้วยเงินของตนเอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เพิ่มเงินประจำตำแหน่งและค่าทำสำนวนการสอบสวนให้แก่พนักงานสอบสวน
เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่นำมาซื้ออุปกรณ์ในการทำงานได้ แต่สถานีตำรวจบางแห่ง
ก็มีปัญหาค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ
หรือค่าไฟฟ้าที่ใช้ในสถานีตำรวจ
พนักงานสอบสวนบางคนต้องนำเงินตอบแทนที่ได้มาไปเติมน้ำมันรถและจ่ายค่าไฟฟ้า เพื่อบริการประชาชน
ดังนั้น ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณ
จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ให้พนักงานสอบสวนนำไปเทียบเคียงกับหน่วยงานยุติธรรมอื่นที่ดีกว่า
จึงทำให้อยากแยกตัวออกจากองค์กรตำรวจ ทั้งที่ยังไม่ได้ศึกษาผลกระทบต่อประชาชนว่า เมื่ออำนาจสอบสวนอยู่หรือแยกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แล้วผลจะเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ๒ ประการ คือ
ประการแรก การสืบสวนกับการสอบสวน
เป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กันหรือเรียกได้ว่า "เป็นของคู่กัน" แม้ว่า
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จะบัญญัติความหมายแยก "การสืบสวน"
ออกจาก "การสอบสวน" แต่ในด้านการปฏิบัติงานแล้ว คำว่า
"สืบสวนสอบสวน" แทบจะแยกจากกันไม่ออก
เพราะการสอบสวนต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน ไม่ว่า
เป็นการสืบสวนก่อนเกิดเหตุ เพื่อเก็บข้อมูลบุคคลที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดอาญา
การสืบสวนขณะเกิดเหตุ หรือหลังเกิดเหตุ เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี
โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการซักถามพยานในที่เกิดเหตุ
และจากพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในที่เกิดเหตุ
ตลอดจนการติดตามแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานที่ต่อเนื่องมาจากการซักถามพยานหรือจากผู้ต้องสงสัย
ในอดีต ประมาณก่อนปี พ.ศ.๒๕๓๓ งานสืบสวนกับสอบสวนเคยถูกดำเนินการโดยเจ้าพนักงานตำรวจคนเดียวกัน ซึ่งเรียกชื่อตำแหน่งว่า "รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน" โดยจะทำหน้าที่ตั้งแต่เข้าเวรรับแจ้งความร้องทุกข์ ออกสืบสวนหาข่าวในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และเมื่อได้รับแจ้งเหตุหลังเกิดเหตุ ก็ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและหาตัวผู้ต้องสงสัย จนเชื่อแน่ว่าเป็นผู้กระทำความผิด จึงได้พาเจ้าพนักงานตำรวจออกไปสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้พร้อมกับของกลางมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เรียกได้ว่า มีการสืบสวนสอบสวนครบถ้วนกระบวนความ ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุจนถึงหลังเกิดเหตุจนกระทั่งจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ แล้วก็ทำสำนวนการสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ
ภายหลังมีผู้บังคับบัญชาเห็นว่า งานสืบสวน กับ งานสอบสวน
ควรแยกจากกันเพื่อความสะดวกรวดเร็วโดยการแบ่งกันทำหน้าที่ในส่วนของตน โดยให้ผู้สืบสวนทำหน้าที่ออกสืบสวนแต่เพียงอย่างเดียว
จึงแบ่งหน้าที่และแบ่งงานกันใหม่ เรียกชื่อตำแหน่งผู้สืบสวนว่า
"รองสารวัตรสืบสวน" ส่วนผู้สอบสวนทำหน้าที่สอบปากคำพยานรวบรวมเอกสาร
ภาพถ่าย และของกลางในที่เกิดเหตุหรือที่ผู้สืบสวนนำมามอบให้เรียกชื่อตำแหน่งว่า
"รองสารวัตรสอบสวน" จนเปลี่ยนมาเรียกให้สอดคล้องกับกฎหมายว่า
"พนักงานสอบสวน" ผลของการแบ่งงานและหน้าที่ดังกล่าว
ทำให้ผู้ปฏิบัติงานทั้งสองฝ่ายเริ่มแยกห่างออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด
ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติแต่ละฝ่ายก็แตกต่างไปจากเดิม เพราะแต่ละฝ่ายเริ่มมีความรู้สึกว่า
ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของตนเอง
ฝ่ายสืบสวนก็เน้นไปที่การสืบสวนจับกุมคดีที่รัฐเป็นผู้เสียหายหรือคดีที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจเป็นหลัก
ส่วนฝ่ายสอบสวนก็เน้นไปที่รูปแบบความสมบูรณ์ของการทำสำนวนการสอบสวนเป็นหลัก
แนวคิดที่แตกต่างกันจึงเป็นที่มาของปัญหาหรือช่องโหว่ในการปฏิบัติงานเกิดขึ้น
แม้ต่อมา
ผู้บังคับบัญชาจะอุดช่องโหว่ด้วยการสั่งการให้จัดพนักงานสอบสวนคนหนึ่งทำหน้าที่สืบสวนและทำสำนวนสืบสวนคดีอาญาที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด
หรือทำสำนวนคดีที่เชื่อว่าอาจจะจับกุมตัวผู้ต้องหาหากมีการสืบสวนสอบสวนแยกต่างหากจากพนักงานสอบสวนโดยทั่วไปอีกหน้าที่หนึ่งก็ตาม
หรือจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวนเข้าเวรคู่กับพนักงานสอบสวนเพื่อร่วมช่วยเหลือกันสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐาน
หรือจะให้งานสอบสวนและงานสืบสวนอยู่ภายใต้ผู้บังคับบัญชาคนเดียวกันแล้วก็ตาม
ก็ยังมิอาจแก้ปัญหานี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้วยปัญหาที่กล่าวมา การแยกงานสอบสวน
ออกไปจัดตั้งเป็นองค์กรใหม่ จึงมิใช่ว่าจะราบรื่นเสียทีเดียว
ถ้าไม่มอบหมายหน้าที่สืบสวนให้กับพนักงานสอบสวนคนเดียวกันให้ทำหน้าที่ควบคู่กันไปด้วย
แต่ถ้าหากว่าจะมอบหมายให้ทำหน้าที่ทั้งสอบสวนและสืบสวนไปด้วย
ก็เสมือนกับการกลับหวนมาทำหน้าที่ในตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน
ในอดีตอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น การแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หรือไม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ทำการสอบสวนคดีอาญา
จึงเป็นปัญหาใหญ่ให้ชวนน่าคิดว่า หากจะแยกเอาทั้งงานสอบสวนและสืบสวนไป
แล้วจะให้เจ้าพนักงานตำรวจที่เหลืออยู่นั้น ทำงานอะไร
ประการที่สอง ในการแยกงานสอบสวน
ออกจากงานสืบสวน ซึ่งไม่ใช่องค์กรเดียวกัน หรือแม้จะอยู่ในองค์กรเดียวกัน
แต่ผู้บังคับบัญชาเป็นคนละคนกัน
การทำงานทั้งฝ่ายสืบสวนและฝ่ายสอบสวนย่อมจะมีการตรวจสอบซึ่งกันและกันว่า
การดำเนินการของเจ้าพนักงานแต่ละฝ่ายกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
มองในแง่ของการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ดูเหมือนว่า
ประชาชนย่อมได้รับความเป็นธรรมจากการคานอำนาจกันของเจ้าพนักงานทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง หากการสืบสวนจับกุมสะดุดหยุดลงเพราะความไม่กล้าที่จะลงมือเสี่ยงจับผู้ต้องสงสัยมาซักถาม
หรือกระทำการที่เสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิดแล้ว
คนกระทำผิดจำนวนมากก็จะลอยนวล ผู้เขียนจึงขอทิ้งท้ายด้วยคำถามว่า
"ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการแยกงานสอบสวนออกไปจากสำนักงานตำรวจอย่างแท้จริงหรือไม่"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น