คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๑๕/๒๕๕๒
ป.วิ.พ. มาตรา ๘๖, ๘๗
ป.รัษฎากร มาตรา ๑๑๘
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ที่ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว...” ซึ่งเอกสารสัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างส่ง มีลักษณะเป็นตราสารต้องปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร เมื่อเอกสารสัญญากู้เงินตามที่โจทก์อ้างมิได้ปิดอากรแสตมป์ และตามสำเนาหนังสือสัญญากู้เงิน ซึ่งตรงกับต้นฉบับ มีการปิดอากรแสตมป์เพียง ๘๐ บาท ไม่ครบถ้วนจำนวน ๒๐๐ บาท ตามกฎหมาย สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ประกอบกับจำเลยให้การต่อสู้ว่า หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ฟ้องเป็นเอกสารปลอม เพราะมีการกรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าวโดยพลการ โดยที่จำเลยไม่รู้เห็นยินยอมด้วย โจทก์จึงไม่อาจอาศัยหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกฎหมายได้
ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ชัดแจ้งในคำให้การ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖
การยื่นคำร้องขออนุญาตปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญากู้เงิน โจทก์ชอบที่จะกระทำเสียก่อนหรือในขณะที่ได้นำสัญญากู้เงินมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง หรือก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสินชี้ขาดคดี การที่โจทก์เพิ่งมาร้องขอดังกล่าวหลังจากที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปแล้ว ย่อมล่วงเลยเวลาที่จะอนุญาตให้ทำการแก้ไขได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๘๙/๒๕๕๒
ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๒ วรรคสอง
ป.รัษฎากร มาตรา ๑๑๘
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยแบบของสัญญาเช่าซื้อได้บัญญัติไว้เพียงว่า “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ” เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นโดยมีจำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้เช่า และมีผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องเจ้าของ ถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นเป็นหนังสือตามแบบที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัติมาตราดังกล่าวแล้ว จึงย่อมมีผลผูกพันคู่สัญญาให้ต้องปฏิบัติตามนั้น
ส่วนการปิดอากรแสตมป์ในตราสารตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรก็เป็นเรื่องของการเรียกเก็บอากรอันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแยกต่างหาก ทั้งการไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ก็มีผลเพียงไม่อาจอ้างตราสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้เท่านั้น การที่โจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ให้บริบูรณ์ทันทีในขณะทำสัญญาเช่าซื้อหาเป็นเหตุให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๔๘๒/๒๕๕๐
ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง
ป.รัษฎากร มาตรา ๑๑๗, ๑๑๘
การที่โจทก์ได้ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้ยืมเงินครบถ้วนแล้ว และประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๗ ให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ แต่การปิดแสตมป์นั้นโจทก์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะนำสัญญากู้ยืมเงินมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาด
เมื่อโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปปิดอากรแสตมป์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว สัญญากู้ยืมเงินย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้มิได้ ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้...” ถือได้ว่า โจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง
(หมายเหตุ.- ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติห้ามมิให้ใช้ตราสารที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานใดคดีแพ่ง ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่ชอบ เพราะการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องพยานหลักฐานจะต้องกระทำก่อนหรือในขณะนำสัญญากู้ยืมเงินมานำสืบเป็นพยานหลักฐาน เมื่อนำสืบพยานหลักฐานเสร็จสิ้นจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ย่อมไม่สามารถไปแก้ไขข้อบกพร่องของพยานหลักฐานดังกล่าวได้
(พรเพชร วิชิตชลชัย)
ป.วิ.พ. มาตรา ๘๖, ๘๗
ป.รัษฎากร มาตรา ๑๑๘
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ที่ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว...” ซึ่งเอกสารสัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างส่ง มีลักษณะเป็นตราสารต้องปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร เมื่อเอกสารสัญญากู้เงินตามที่โจทก์อ้างมิได้ปิดอากรแสตมป์ และตามสำเนาหนังสือสัญญากู้เงิน ซึ่งตรงกับต้นฉบับ มีการปิดอากรแสตมป์เพียง ๘๐ บาท ไม่ครบถ้วนจำนวน ๒๐๐ บาท ตามกฎหมาย สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ประกอบกับจำเลยให้การต่อสู้ว่า หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ฟ้องเป็นเอกสารปลอม เพราะมีการกรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าวโดยพลการ โดยที่จำเลยไม่รู้เห็นยินยอมด้วย โจทก์จึงไม่อาจอาศัยหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกฎหมายได้
ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ชัดแจ้งในคำให้การ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖
การยื่นคำร้องขออนุญาตปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญากู้เงิน โจทก์ชอบที่จะกระทำเสียก่อนหรือในขณะที่ได้นำสัญญากู้เงินมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง หรือก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสินชี้ขาดคดี การที่โจทก์เพิ่งมาร้องขอดังกล่าวหลังจากที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปแล้ว ย่อมล่วงเลยเวลาที่จะอนุญาตให้ทำการแก้ไขได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๘๙/๒๕๕๒
ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๒ วรรคสอง
ป.รัษฎากร มาตรา ๑๑๘
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยแบบของสัญญาเช่าซื้อได้บัญญัติไว้เพียงว่า “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ” เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นโดยมีจำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้เช่า และมีผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องเจ้าของ ถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นเป็นหนังสือตามแบบที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัติมาตราดังกล่าวแล้ว จึงย่อมมีผลผูกพันคู่สัญญาให้ต้องปฏิบัติตามนั้น
ส่วนการปิดอากรแสตมป์ในตราสารตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรก็เป็นเรื่องของการเรียกเก็บอากรอันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแยกต่างหาก ทั้งการไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ก็มีผลเพียงไม่อาจอ้างตราสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้เท่านั้น การที่โจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ให้บริบูรณ์ทันทีในขณะทำสัญญาเช่าซื้อหาเป็นเหตุให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๔๘๒/๒๕๕๐
ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง
ป.รัษฎากร มาตรา ๑๑๗, ๑๑๘
การที่โจทก์ได้ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้ยืมเงินครบถ้วนแล้ว และประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๗ ให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ แต่การปิดแสตมป์นั้นโจทก์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะนำสัญญากู้ยืมเงินมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาด
เมื่อโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปปิดอากรแสตมป์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว สัญญากู้ยืมเงินย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้มิได้ ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้...” ถือได้ว่า โจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง
(หมายเหตุ.- ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติห้ามมิให้ใช้ตราสารที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานใดคดีแพ่ง ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่ชอบ เพราะการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องพยานหลักฐานจะต้องกระทำก่อนหรือในขณะนำสัญญากู้ยืมเงินมานำสืบเป็นพยานหลักฐาน เมื่อนำสืบพยานหลักฐานเสร็จสิ้นจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ย่อมไม่สามารถไปแก้ไขข้อบกพร่องของพยานหลักฐานดังกล่าวได้
(พรเพชร วิชิตชลชัย)